วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเคลมประกัน


วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

1. โทรแจ้งบริษัททันที จดชื่อผู้รับพร้อมแจ้งเลขกรรมธรรมของท่าน
2. จดชื่อที่อยู่ของผู้ขับขี่ และทะเบียนรถฝ่ายตรงข้าม
3. ห้ามตกลงหรือยินยอม หรือสัญญาว่าจะชดใช้ใด ๆก่อนได้รับความเห็นชอบจากบริษัทฯ
4. กรณีการจัดซ่อมรถประกันต้องทำการตกลงราคา ค่าซ่อมกับทางบริษัทฯก่อน หรือเข้าซ่อมอู่ในเครือของบริษัทฯ
5. กรณีเกิดเหตุต่างจังหวัด ให้ติดต่อสายตรงแจ้งเหตุ หรือสำนักงานสาขาของบริษัทฯ ที่ใกล้ที่สุด
6. แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีทันทีหากมีผู้กระทำให้รถของท่านได้รับความเสียหาย
7. กรณีรถของท่านอยู่ในสัญญาน็อคฟอร์น็อคให้ปฏิบัติดังนี้

  • ตรวจฝ่ายตรงข้ามว่ามีเอกสารสำคัญ ใช้เมื่อเกิดอุบัติเหตุ(ใบสีเหลือง) หรือไม่ 
  • หากพบว่ามีให้เจรจาหาข้อสรุปว่าใครผิดใครถูก 
  • ลงลายมือในช่องฝ่ายถูกหากท่านเป็นฝ่ายถูกหรือ ลงลายมือในช่องฝ่ายผิดหากท่านเป็นฝ่ายผิด
  • แลกเอกสารดั่งกล่าวซึ่งกันและกัน 
  • นำเอกสารที่แลกกันแล้วนั้นติดต่อบริษัทประกันภัยของท่านทันที 
  •  ท่านสามารถแยกรถออกจากกัน และต่างฝ่ายต่างแยกออกจากันได้ทันที โดยไม่ต้องรอบริษัทประกัน 

8. หากไม่เข้าใจควรติดต่อบริษัทฯ เพื่อความชัดเจนต่อไป โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของบริษัทฯ

ทำอย่างไร เมื่อเกิดอุบัติเหตุ
 
ก. ในที่เกิดเหตุ...

หากรถคู่กรณีเป็นรถสี่ล้อที่ทำประกันภัยประเภท 1 ที่มีเอกสาร Knock for Knock (ไม่ว่าจะเป็นบริษัทฯ ใดก็ตามแต่) โดย

  • เป็นรถสี่ล้อที่มีน้ำหนักรถรวมบรรทุกไม่เกิน 3 ตัน หรือ
  • รถที่จดทะเบียนที่นั่งไม่เกิน 15 ที่นั่ง

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกให้ออกเอกสาร "KNOCK FOR KNOCK" ให้คู่กรณีได้เลย โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้
1.1 กรอกข้อความรายละเอียดต่าง ๆ ลงในเอกสาร "KNOCK FOR KNOCK" ให้ครบถ้วน
1.2 ให้ผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่าย ลงลายมือชื่อในเอกสาร แล้วแลกเปลี่ยนกับเอกสารของคู่กรณี
1.3 แยกย้ายจากที่เกิดเหตุได้ทันที
1.4 นำเอกสารที่ได้จากคู่กรณี มาติดต่อบริษัทฯ เพื่อดำเนินการแจ้งเหตุและจัดซ่อมต่อไป

กรณีตกลงกันไม่ได้ว่า ใครเป็นฝ่ายผิดใครเป็นฝ่ายถูกให้ดำเนินการดังนี้

  • ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อทำเครื่องหมาย ณ ที่เกิดเหตุ แล้วเคลื่อนรถออกจากที่เกิดเหตุ
  • แจ้งบริษัทฯ โดยทันที

หากรถคู่กรณีไม่มีประกัน หรือมีประกันภัยประเภทอื่นที่มิใช่ประเภท 1 ให้ออกเอกสาร "ใบยินยอมรับผิด" ให้คู่กรณีโดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้

หากท่านเป็นฝ่ายผิด

  • ให้ท่านกรอกรายละเอียดลงในใบยินยอมรับผิดและลงชื่อท่าน
  • กรอกรายละเอียดของคู่กรณี , รายละเอียดความเสียหาย และให้คู่กรณีลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน
  •  ฉีกตัวจริงให้คู่กรณี เพื่อมาติดต่อบริษัทฯ ต่อไป


หากท่านเป็นฝ่ายถูก

  • ให้คู่กรณีกรอกรายละเอียด หรือท่านกรอกเอง
  • ลงชื่อทั้งคู่ไว้เป็นหลักฐาน ฉีกสำเนาให้คู่กรณี และเก็บตัวจริงไว้เพื่อติดต่อบริษัทฯ ต่อไป
  •  หากท่านมีข้อสงสัย โปรดติดต่อ โทร. 0-2640-7777


กรณีมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต หรือกรณีนอกเหนือจากข้างต้น ต้องโทรศัพท์แจ้งให้บริษัทฯ ทราบโดยทันที เพื่อบริษัทฯ จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกให้บริการต่อไป

  • หากท่านถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจ และท่านได้ซื้อความคุ้มครองการประกันตัวในคดีอาญาไว้ โปรดแจ้งให้บริษัทฯ ทราบทันที เพื่อจะได้นำหลักทรัพย์มาประกันตัวท่านโดยเร็วที่สุด
  • พนักงานสอบสวนไม่มีสิทธิที่จะควบคุมตัวท่านได้หากไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ต้องทำการรักษาตัวเกินกว่า 20 วัน
  • หากเกิดเหตุแล้วท่านหลบหนี ตามกฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าท่านผิด


หากถูกชนแล้วคู่กรณีหลบหนี
หากท่านทราบหมายเลขทะเบียนรถคู่กรณี ให้ท่านแจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุ โดยระบุในใบแจ้งความว่า เพื่อดำเนินคดี (ห้ามระบุว่าแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐานเท่านั้น)

กรณีรถหาย

  • รีบแจ้งให้บริษัทฯ ทราบทันที
  • รีบแจ้ง ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถ (ศปร.) โทร. 245-9059 ,245-6951



ข.ข้อมูลที่ควรเตรียมไว้แจ้งอุบัติเหตุต่อบริษัทฯ...
ท่านควรจัดเตรียมรายละเอียดได้แจ้งเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ เพื่อมิให้เกิดความล่าช้า หรือขลุกขลัก ดังต่อไปนี้


  • ชื่อผู้เอาประกันภัย และหมายเลขกรมธรรม์
  • เลขทะเบียน ยี่ห้อ และสีของรถประกัน
  • ชื่อคนขับ และสาเหตุการเกิดโดยย่อ
  • สถานที่เกิดเหตุ จุดที่สังเกตุเห็นได้ชัด และจุดนัดหมาย (กรณีต้องรอเจ้าหน้าที่บริษัท)
  • ถามชื่อผู้รับแจ้ง พร้อมเวลาที่แจ้ง



ค. การซ่อมรถประกัน...

บริษัทฯ จะจัดซ่อมรถของท่านตามอู่ที่บริษัทฯ ได้คัดเลือกไว้ ดังมีระบุไว้ในสมุดเล่มนี้หากท่านประสงค์จะซ่อมรถที่อู่ท่านเลือกเอง โปรดแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบพร้อมยื่นใบเสนอราคาต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ จะจ่ายเป็นเงินตามราคาประเมินของอู่บริษัทฯอะไหล่ชิ้นใด บริษัทฯ จะพิจารณาเปลี่ยนใหม่ให้กรณีที่ความเสียหายของชิ้นนั้นเกินกว่า 50% เท่านั้นก่อนส่งรถเข้าซ่อม โปรดตรวจสิ่งของที่อยู่ในรถก่อนเซ็นรับรถเมื่อซ่อมเสร็จโปรดตรวจผลการซ่อมอย่างละเอียดไม่ควรตรวจดูรถในสถานที่แสงสว่างไม่ชัดเจนหากพบว่าการซ่อมไม่เรียบร้อยอย่าเซ็นรับรถและรีบแจ้งบริษัทฯ ทันที ท่านมีสิทธิตรวจสอบรายการซ่อม/เปลี่ยน จากอู่ได้ทุกเวลา หากอู่ซ่อมล่าช้ากว่ากำหนด แจ้งบริษัทฯ ได้ทันที และไม่ควรเร่งอู่จนเกินไปกว่าเวลาอันควร เพราะอาจเกิดผลเสียหายต่อสีที่ซ่อมได้

ง. บริการรถยก....

หากรถท่านขับไม่ได้หลังเกิดอุบัติเหตุ โปรดเรียกบริการรถยก ตามหมายเลขโทรศัพท์ท้ายคู่มือนี้ โดยแจ้งกรมธรรม์ให้เขาทราบบริษัทฯ จะจ่ายค่ารถยกไม่เกิน 20% ของราคาซ่อมรถประกัน

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ช่องทางชำระเบี้ยประกันภัย


1.ชำระผ่าน Internet  ( ตามขั้นตอนของแต่ละธนาคาร )
  • ธนาคารกรุงเทพฯ       รหัสบริษัท ฯ  = 170
  • ธนาคารกรุงไทย      รหัสบริษัท ฯ  = 6083
  • ธนาคารไทยพาณิชย์   รหัสบริษัท ฯ = 0768
  • ธนาคารทหารไทย      รหัสบริษัท ฯ  =  679
  • ธนาคารกรุงศรี ฯ      รหัสบริษัท ฯ  = 69759

Ref.No.1(รหัสผู้ให้บริการ ) = รหัสตัวแทน  ระบุ 00 แล้วตามด้วยตัวเลขให้ครบ 7 หลักเช่น รหัสตัวแทน PP12345  เขียนเป็น 0012345

Ref.No.2 (เลขอ้างอิง ) = เลขกรมธรรม์ที่เป็นตัวเลข 7 ตัว ตามด้วย 00 ให้ครบเก้าหลัก หรือตามประเภทกรมธรรม์  เช่น LB-VMI-4803344 เขียนเป็น 480334400

กรมธรรม์ พ.ร.บ.รถยนต์ ระบุ 222222222 ( 2 เก้าตัว ) เท่านั้น
ทำรายการก่อนเวลา 22.30 น

 2.ชำระผ่านเครื่อง  ATM  ของธนาคารทุกสาขาทั่วประเทศ ( ชำระด้วยบัตร ATM ผ่านตู้ ATM ตามขั้นตอนของแต่ละธนาคาร )
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา รหัสบริษัท ฯ = 69759
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ รหัสบริษัท ฯ = 0768
  • ธนาคารทหารไทย หัสบริษัท ฯ =  679


Ref.No.1 และ Ref.No.2  ระบุเช่นเดียวกับโอนผ่าน Internet
ทำรายการก่อนเวลา 22.30 น
.
3.ชำระผ่านระบบโทรศัพท์อัตโนมัติ (ตามขั้นตอนของแต่ละธนาคาร ) โดยใช้เลขที่บัญชี/เลขที่บัตรATM
/เลขที่บัตรเครดิตของผู้เอาประกัน หรือของตัวแทนที่ชำระเบี้ยประกันภัย
  • ธนาคารกรุงเทพ ฯ หมายเลข  1331 หรือ 02-6455555    รหัสบริษัท ฯ = 170
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ หมายเลข  02 - 7777777             รหัสบริษัท ฯ= 0768
  • ธนาคารทหารไทย  หมายเลข  1558                             รหัสบริษัท ฯ = 679
  • ธนาคารกรุงศรี ฯ หมายเลข 1572                                 รหัสบริษัท ฯ = 69759


4.ชำระผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส (7-11)
  • ชำระด้วยบัตรผู้ให้บริการ หรือแบบฟอร์มที่ได้รับพร้อมกรมธรรม์ ( บาร์โค๊ด )
  • ชำระด้วยเงินสด ไม่เกิน 30,000 บาท

    ชำระได้ถึงเวลา 24.00 น.


5.ชำระผ่าน Tesco Lotus
  • ชำระด้วยบัตรผู้ให้บริการ หรือแบบฟอร์มที่ได้รับพร้อมกรมธรรม์ ( บาร์โค๊ด )
  • ชำระด้วยเงินสด ไม่เกิน49,000 บาท /1 รายการ 

ชำระได้ถึงเวลา 22.30 น
.
6.ชำระผ่าน ทรูมันนี่เอ็กเพรส  / ทรู พาร์ทเนอร์
  • ชำระด้วยบัตรผู้ให้บริการ หรือแบบฟอร์มที่ได้รับพร้อมกรมธรรม์ ( บาร์โค๊ด )
  • ชำระด้วยเงินสด ไม่เกิน 30,000 บาท / 1 รายการ

ชำระได้ถึงเวลา 24.00 น.


หมายเหตุ กรุณาตรวจสอบความถูกต้องของการชำระเงินทุกครั้ง   กรณีที่ระบุเลขอ้างอิง




วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตรวจสอบยอดขาย

ตัวแทนมิตรแท้ประกันภัยสามารถตรวจสอบ ยอดขายส่วนตัว คะแนนสะสมแลกสินค้าและแข่งขันท่องเที่ยวต่างประเทศ กรมธรรม์ที่ค้างชำระ กรมธรรม์ต่ออายุ โดยต้องทำการลงทะเบียนและให้ข้อมูลให้ตรงกับที่สมัครตัวแทน ลงทะเบียนได้ที่  www.drpr.co.th



1.ทำการลงทะเบียน  โดยคลิกที่ลงทะเบียน




2.อ่านทำความเข้าใจและยอมรับเงื่อนไข  แล้วให้เลือกการยอมรับ



3.ลงทะเบียนผู้ใช้
       
  เมื่อท่านได้อ่านข้อตกลงการใช้งานและยอมรับแล้วท่านจะเข้าสู่หน้าลงทะเบียนผู้ใช้ระบบโดยให้
  • กรอกรหัสตัวแทน เช่น PP12345 ในช่องรหัสประจำตัว
  •  ใส่เลขที่บัญชีธนาคาร หรือหมายเลขประจำตัวประชาชน อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ท่านแจ้งไว้ในการสมัครตัวแทน
  • เมื่อใส่ข้อมูลครบแล้ว ให้ท่านคลิ๊กเลือก"ลงทะเบียน "




4.ยืนยันข้อมูลผู้ใช้ระบบ

  เมื่อท่านได้ลงทะเบียนผู้ใช้ระบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเข้าสู่หน้าจอ ยืนยันข้อมูลผู้ใช้ระบบ เพื่อทำการยืนยันข้อมูลของท่านอีกครั้งหนึ่ง และให้เพิ่มข้อมูลของท่านโดยระบบจะแจ้ง ดังนี้
  • รหัสผู้ใช้ระบบ
  • ชื่อผู้ใช้ระบบ
  • ที่อยู่ที่ท่านให้ไว้ในการสมัครตัวแทน
  • ที่อยู่ปัจจุบัน ขอให้ท่านแก้ไขให้ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด
  • หมายเลขโทรศัพท์
  • หมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่
  • หมายเลขบัตรประชาชน
  • หมายเลขบัญชีธนาคาร
  • ชื่อเข้าระบบของคุณ(Login) กรุณารักษาไว้เป็นความลับ
  • รหัสผ่าน (Password) 
  • ยืนยันรหัสผ่าน ให้ท่านใส่ข้อมูลที่เหมือนกับรหัสผ่านที่ท่านได้เลือกไว้
เมื่อท่านได้ใส่ข้อมูลครบถ้วน แล้วให้ท่านเลือก "ยืนยัน" เพื่อเข้าใช้ระบบ








สมัครสมาชิกมิตรแท้จริงใจคลับ


สมัครสมาชิกมิตรแท้จริงใจคลับ ได้ง่ายๆ เพียงแค่
  1. ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยมิตรแท้ ที่ร่วมรายการ 1 ฉบับ
  2. หรือมีกรมธรรม์ประกันภัยมิตรแท้เดิม ที่มีอยู่แล้วยังมีความคุ้มครองอยู่ไม่น้อยกว่า 90 วัน
สิทธิประโยชน์ของผู้ถือบัตรสมาชิกมิตรแท้จริงใจคลับ
  1. ได้รับส่วนลด 5% ทันที ที่ซื้อกรมธรรม์มิตรแท้ประกันภัยที่ร่วมรายการ
  2. ได้รับส่วนลดพิเศษ เมื่อแสดงบัตรสมาชิก กับร้านค้าต่างๆที่ร่วมรายการ
  3. ได้รับค่าแนะนำ เมื่อแนะนำสมาชิกคนต่อๆ ไป



กรมธรรม์มิตรแท้ประกันภัยที่ร่วมรายการ 
 1. ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ พ.ร.บ.
 2. พ.ร.บ.พลัส คุ้มครองทวีคูณ/คุ้มครองเพิ่มพูน 
 3. ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 2 3  
 4. ประกันภัยรถยนต์ประเภท 2+ 3+
 5. ประกันอัคคีภัยบ้าน
 6. ประกันภัยผู้เล่นกอล์ฟ
 7. ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล



     ตัวแทนแนะนำลูกค้าให้เป็นสมาชิกเพียงซื้อกรมธรรม์ 1 ฉบับ ลูกค้าได้รับส่วนลดทันที 5% หากสมาชิกแนะนำสมาชิกคนต่อไปได้รับค่าแนะนำ 5% ไม่ต้องมีคนค้ำ ไม่ต้องใช้เอกสารเพิ่ม เริ่มได้ทันที เพิ่มผลงานได้มาก ตัวแทนบอกต่อลูกค้า สมาชิกบอกต่อลูกค้า ตัวแทนบอกต่อสมาชิก ลูกค้าบอกต่อลูกค้า ได้ค่าแนะนำ

   สำหรับลูกค้าเดิมที่ซื้อกรมธรรม์ก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 บริษัทจะสงวนสิทธิ์การแนะนำสมาชิกไว้ให้กับตัวแทนที่ดูแลลูกค้านั้นอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นการซื้อกรมธรรม์ใหม่ก็ตามจะต้องซื้อกับตัวแทนคนเดิมเท่านั้น จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2555 หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ตัวแทนท่านอื่นสามารถนำลูกค้ารายดังกล่าวมาเป็นสมาชิกได้โดยซื้อกรมธรรม์ใหม่



สอบถามเพิ่มเติม 0817159791 คุณ ทวี
www.sanfhun.com


วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มิตรแท้ทวีคูณ

ข้อตกลงความคุ้มครอง
ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือ อนามัยของบุคคลภายนอก
250,000 บาท / คน
10,000,000 บาท / ครั้ง
ความรับผิดต่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
1,000,000 บาท / ครั้ง
การประกันตัวผู้ขับขี่
100,000 บาท
ความคุ้มครอง ตาม พ.ร.บ.
50,000 หรือ100,000 / คน
5,000,000 หรือ10,000,000 / ครั้ง


เงื่อนไขการรับประกันภัย
  • รถยนต์นั่ง การใช้ส่วนบุคคล รหัส 110
  • รถยนต์นั่ง การใช้เพื่อการพาณิชย์ ไม่นำไปใช้รับจ้างหรือให้เช่า รหัส 120
  • รถยนต์โดยสาร การใช้ส่วนบุคคล รหัส 210
  • รถยนต์ปิคอัพบรรทุก ไม่เกิน 4 ตัน ไม่นำไปใช้รับจ้างหรือให้เช่า รหัส 320
  • แผนที่รวม พ.ร.บ.จะต้องซื้อความคุ้มครอง พรบ.ด้วยทุกครั้ง
อัตราเบี้ยประกันภัย 
ประเภทรถ
ไม่รวม พ.ร.บ.
รวม พ.ร.บ.
รถยนต์นั่งส่วนบุคคล
2,360 บาท
2,690  บาท
รถเก๋งเพื่อการพาณิชย์
3,460 บาท
3,790 บาท
รถปิคอัพบรรทุก
3,360 บาท
3,690 บาท
รถยนต์โดยสาร (รถตู้)
3,560 บาท
3,890 บาท

รู้ทันพนักงานเคลม


สำหรับผู้ที่ซื้อรถใหม่ หลายๆคนคงต้องทำประกันรถยนต์กันทั้งนั้น ปัจจุบันนี้ ผู้ใช้รถยนต์โดยทั่วๆไป ที่ทำประกันภัยรถยนต์ แล้วคงไม่อยากจะเจอกับพนักงานเคลมของบริษัทฯประกันภัยเป็นแน่แท้ เพราะถ้าเจอแล้วบางท่านที่ไม่มีประสบกราณ์ตอนรถชนกัน อาจไม่ทราบเลยว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะถูกขออธิบายให้ท่านทราบ ถึงลักษณะของอุบัติเหตุตามอาชีพที่พวกเราเรียกเขาว่า พนักงานเคลม ก่อนว่าโดยทั่วๆไปแล้วคนในอาชีพเคลม

แบ่งลักษณะการเกิดเหตุ ออกเป็นลักษณะใดบ้าง หลักๆดังนี้

ลักษณะที่ 1 เคลมแห้ง หมายถึง เคลมที่รถเกิดเหตุมานานแล้ว เพิ่งมาแจ้งเหตุ เช่น แผลขูดขีด เป็นต้น

ลักษณะที่ 2 เคลมสด หมายถึง เคลมที่รถชนกันสดๆ และยังมีผู้เสียหายในเหตุกราณ์รออยู่

ลักษณะที่ 3 เคลมเสียหายมาก หมายถึง เคลมที่จะเกิดขึ้นสดๆ หรือเกิดขึ้นนานแล้วแต่เสียหายมากเพิ่งมาแจ้งเหตุ เช่น รถเสียหายจนขับไม่ได้ นานมาแล้วเป็นอาทิตย์เพิ่งมาแจ้งเหตุ เป็นต้น

ซึ่งในภาคธุรกิจประกันวินาศภัย ปัจจุบันมีทั้งบริษัทฯต่างชาติและบริษัทฯ ที่มีธุรกิจที่เอื้อประโยชน์กันเข้าแข่งขันในการครองตลาดรถอยู่มาก ผู้บริโภคจึงไม่อาจจะเลือก โดยเสรีทางความคิดได้หมด เพราะส่วนมากไฟแนซ์ก็เป็นผู้เกือบจะบังคับให้ตามโปรแกรมการขาย ซะเป็นส่วนมาก (ไม่รวมรถที่ซื้อเงินสด) จึงไม่รู้เลยว่า บริษัทประกันภัยที่เขาเลือกให้เรานั้น ได้มาตราฐานหรือจัดให้ตามประโยชน์ที่ เซลขายรถหรือมารเก็ตติ้งของไฟแนนซ์ จะได้รับพนักงานเคลมมีหน้าที่ออก ตรวจสอบอุบัติเหตุ โดยเร็วที่สุดและบันทึกรายงาน ถ่ายภาพ ที่เกิดเหตุ รวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนสมบรูณ์ที่สุด เพื่อเข้าเป็นรายงานแฟ้มอุบัติเหตุต่างๆ นี่ก็คือ หน้าที่หลักโดยทั่วไป ซึ่งจากสถิติการเกิดเหตุ โดยทั่วๆไปแล้ว เรื่องที่จะมีปัญหากับท่านผู้อ่านก็คือ แจ้งเคลมแห้ง เพราะในสัญญาประกันภัยได้ระบุไว้ว่าหากเกิดเหตุไม่ทราบคู่กรณี ท่านก็จะต้องถูกเก็บค่าเงื่อนไขไม่ทราบคู่กรณี ยกเว้นเสียแต่ว่าท่านจะพิสูจน์ให้บริษัทฯประกันทราบว่า ท่านไม่ได้เป็นฝ่ายถูกละเมิด(ฝ่ายถูก)จากผู้อื่นแล้วไปเรียกเก็บ ค่าเสียหายเข้ากระเป๋าของตนซะเองไปแล้ว

ฉะนั้นเวลารถของท่านเสียหายไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตามท่านจะต้องโทรศัพท์ แจ้งเหตุไปที่บริษัทฯประกันในทันทีและต้อง ขอหมายเลขรับแจ้งและชื่อสกุลของพนักงานรับแจ้งไว้เป็นหลักฐานด้วยทุกครั้งเพราะพนักงานรับแจ้งเหตุนั้น จะช่วยแนะนำท่านในสิ่งที่ท่านจะต้องทำต่อไปเช่น ถูกชนแล้วหลบหนีไปต่อหน้าต่อตาจะทำอย่างไรทะเบียนรถที่ชนก็จำไม่ได้อีกซะเลย เป็นต้นพนักงานเคลม บางท่านจะนำประโยชน์ในสัญญาประกันภัย มาเก็บค่าเงื่อนไขท่าน ซึ่งหากท่านคิดว่าจ่ายไปด้วยความถูกต้องแล้วก็ควร ขอใบเสร็จรับเงินจากบริษัทฯที่ท่านทำประกันไว้เป็นหลักฐานด้วยทุกครั้ง

สิ่งสำคัญหากท่านขับรถชนกับรถคู่กรณีที่ไม่มีประกันภัยและรถของท่านเป็นฝ่ายถูกแล้ว ท่านควรตรวจสอบกลับไปที่บริษัทฯประกันภัยที่ท่านทำประกันทุกครั้ง ว่าตามรายงานอุบัติเหตุรถของท่านเป็นฝ่ายถูกจริงหรือ ไม่ควรคุยกับระดับหัวหน้างานของบริษัทฯนั้นๆ เพราะถ้าเป็นฝ่ายถูกท่านจะได้รับส่วนลดประวัติดีในปีต่อไป ธุรกิจประกันวินาศภัยในบ้านเรา(เมืองไทย) ยังคงต้องพัฒนายกระดับมาตราฐานขึ้นอีกมาก พนักงานเคลมบางบริษัทฯมีจริงๆไม่กี่คน นอกนั้นจะต้องจ้างบริษัทเซอร์เวย์เยอร์ แปลเป็นไทยว่า บริษัทรับสำรวจภัย ซึ่งมีหน้าที่รับจ้างทำเคลมให้กับบริษัทประกันภัยต่างๆ ที่แจ้งเหตุเข้ามา ซึ่งบางบริษัทเซอร์เวย์เยอร์ก็ไม่มีสาขา เรียกกันว่าเกิดเหตุ ที่จังหวัดนี้ก็ใช้บริการที่นี่ เป็นต้น ซึ่งอาจจะทำให้บริการไม่ทั่วถึง ในช่วงเวลาเร่งด่วนหรือในช่วงเทศกาล ซึ่งต่างกับบริษัทประกันภัยที่มีสาขาหรือศูนย์บริการคลอบคลุม อยู่ทุกพื้นที่การให้บริการ จะทำให้ไปถึงที่เกิดเหตุได้รวดเร็วขึ้น

อีกเรื่องที่ถือว่าสำคัญก็คือ จรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพซึ่งรวมถึงเรื่องของความรู้ใน ข้อกฎหมายในคดีรถชนกันและมารยาทความเอาใจใส่ในการบริการลูกค้าของพนักงาน เป็นต้น เรื่องพวกนี้ถือว่าเป็นสาระสำคัญในการประกอบธุรกิจของบริษัทประกันภัยให้มีเชื่อเสียงได้ยาวนาน บริษัท เซอร์เวยเยอร์ ต่างๆ บางบริษัทฯมีมาตราฐาน ราคาค่าสำรวจก็จะมาตราฐานไปด้วย แต่ปัจจุบันบริษัทประกันภัย บางบริษัทฯก็ต้องการลดต้นทุน หันไปใช้บริษัท เซอร์เวยเยอร์ที่ไม่มีมาตราฐานมาใช้งาน เพราะค่าบริการถูกแต่ลืมคิดถึงภาพลักษณ์ของบริษัทประกันภัยเอง เพราะเวลาที่ลูกค้าซื้อประกันส่วนมาก ก็จะเจอแต่เซลหรือตัวแทนขายประกันภัย ไม่เคยเจอพนักงานเคลมเลย จะมาเจออีกทีก็ตอนมีอุบัติเหตุหรือตอนแจ้งเคลมนี่หละ ซึ่งถ้าบริษัทประกันภัยไหนมีมาตราฐานในการบริการที่ดี มาถึงที่เกิดเหตุเร็ว ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีกับพวกเราคนใช้รถ เคลมฉ้อฉลปัจจุบัน พวกเราคนใช้รถไม่เคยรู้เลยว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว (เบาๆ) ก็คงไม่ใช่เรื่องยากแต่ถ้าเกิดขึ้นหนักๆแล้ว ผู้ที่จะช่วยท่านได้มากที่สุด ก็คือพนักงานเคลมนั่นเอง เพราะอุบัติเหตุที่เสียหายมาก มีผู้คนบาดเจ็บ ล้มตาย มีคดีอาญาเกิดขึ้นความเสี่ยงจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ขับขี่รถโดยประมาท ตามกฎหมายซึ่งบางบริษัทประกันฯ ก็ทำตรงไปตรงมาบางบริษัทประกันฯ ก็(อาจมี) วิ่งคดีหรือบางบริษัทประกันฯเชี่ยวชาญ มองเกมขาดก็จะแนะนำให้ลูกค้า มีการบรรเทาผลคดี หรือช่วยเหลือคู่กรณีของตน ทางด้านมนุษย์ธรรมเป็นต้น

เคลมฉ้อฉล เกิดขึ้นได้กับพนักงานเคลมที่เรียกหรือถูกฝ่ายตรงข้าม ท่านเสนอให้สินบน เพื่อเขาจะได้เป็นฝ่ายถูกหรือไม่ก็บวกเพิ่ม ค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งก่อนนัดจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่างๆ ท่านควรตรวจสอบกับผู้บริหารของบริษัทประกันภัยให้ชัดเจนก่อนทุกครั้ง อย่าลืมโทรศัพท์เข้าไปสอบถามด้วยตนเองกับ ฝ่ายตรวจสอบของบริษัทประกันภัยหรือผู้จัดการสินไหมฯก็ได้ครับ ท่านจะได้รู้ว่าถูกใครเป็นผู้เอาเปรียบท่านกันแน่ บางครั้งบริษัทประกันฯอาจเอาเปรียบท่าน ก็ควรเจรากันใหม่ ให้ยุติถ้าไม่ยุติหรือเห็นว่าไม่ยุติธรรมก็ให้ติดต่อสายด่วน กรมการประกันภัยได้ ที่เบอร์ 1186

ตัวแทนต้องมีใบอนุญาต


ทาง คปภ.ออกกฎมาแล้วครับว่า คนขายประกันภัยต้องมีบัตรตัวแทนและนายหน้า บทลงโทษ สำหรับคนที่ไม่มีบัตรตัวแทนและนายหน้า

“มาตรา ๖๖ ให้ตัวแทนประกันวินาศภัยมีสิทธิรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัทตัวแทนประกันวินาศภัยอาจทำสัญญาประกันภัยในนามของบริษัทได้เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยหรือพนักงานของบริษัทซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงิน อาจรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัทได้เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทหนังสือมอบอำนาจของบริษัทตามวรรคสองและวรรคสามให้ทำตามแบบที่นายทะเบียนกำหนดหนังสือมอบอำนาจของบริษัท แม้มิได้ทำตามแบบที่นายทะเบียนกำหนดก็ไม่เป็นเหตุให้เสื่อมสิทธิของผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง”

มาตรา ๖๖/๒ นายหน้าประกันวินาศภัยหรือพนักงานของบริษัทต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจ
จากบริษัททุกครั้งที่มีการรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยหรือพนักงานของบริษัทต้องออกเอกสารแสดงการรับเงินของบริษัททุกครั้งที่มีการรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัท ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับแก่พนักงานของบริษัทซึ่งปฏิบัติหน้าที่รับเบี้ยประกันภัย ณ.สำนักงานของบริษัท”

“มาตรา ๗๒ ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันวินาศภัยและใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย
ให้มีอายุหนึ่งปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต ถ้าผู้รับใบอนุญาตดังกล่าวประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต
ให้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตต่อนายทะเบียนภายในกำหนดสองเดือนก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุโดยผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตต้องมีหนังสือรับรองว่าผ่านการฝึกอบรมเพิ่มเติมจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือผ่านการอบรมตามหลักสูตรและวิธีการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยประกาศกำหนดถ้าผู้ได้รับใบอนุญาตตามวรรคหนึ่งได้ต่ออายุใบอนุญาตครบสองคราวติดต่อกันแล้วและได้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต ให้ใบอนุญาตที่ออกให้ต่อไปมีอายุครั้งละห้าปีการขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด”

“มาตรา ๑๐๐ ตัวแทนประกันวินาศภัยผู้ใดทำสัญญาประกันภัยโดยไม่ได้รับมอบอำนาจ เป็นหนังสือจากบริษัทตามมาตรา ๖๖ วรรคสอง หรือนายหน้าประกันวินาศภัย หรือพนักงานของบริษัทผู้ใดรับเบี้ยประกันภัยโดยไม่ได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากบริษัทตามมาตรา ๖๖ วรรคสามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

มาตรา ๑๐๐/๒ นายหน้าประกันวินาศภัยหรือพนักงานของบริษัทผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๖๖/๒
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามหมื่นบาทถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทหรือผู้เอาประกันภัยต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การประชุมออนไลน์

บริษัทมิตรแท้ประกันภัยได้มีระบบห้องประชุมออนไลน์ เพื่อให้ตัวแทนที่ไม่สามารถเดินทางเข้าประชุมฟังการบรรยายที่บริษัท ทำให้ตัวแทนได้รับความสะดวกยิ่งขึ้นในการฟังบรรยายข้อมูลธุรกิจ และเชิญผู้ที่สนใจธุรกิจมาฟังบรรยายผ่านห้องประชุมด้วยก็ได้ การขยายงานก็จะมีช่องทางทำงานที่ผู้มุ่งหวังจตัดสินใจมาฟังข้อมูลธุรกิจกับเรา






   ทีมงานที่ต้องการโปรแกรมประชุมออนไลน์ ติดต่อได้ที่ คุณทวี   โทร 0817159791
อีเมล taweeweb@gmail.com 



การทำงานของตัวแทน


เมื่อสมัครตัวแทนและมีรหัสตัวแทนมิตรแท้ประกันภัยแล้ว เริ่มต้นการทำงาน


1.ต้องวางค้ำ พ.ร.บ รถยนต์ขั้นต่ำ 1 ฉบับ   ฉบับละ 1,000บาท เงินวางค้ำบริษัทจะคืนให้เมื่อเลิกเป็นตัวแทน โดยโอนเงินวางค้ำเข้าบัญชีบริษัทมิตรแท้ประกันภัย แล้วส่งหลักฐานการวางค้ำไปให้สำนักงานตัวแทนที่ใช้บริการอยู่ ทางสำนักงานจะส่ง พ.ร.บ รถยนต์ให้กับท่านและพร้อมเขียนพ.ร.บ ได้ทันที


2.การวางค้ำ พ.ร.บ รถยนต์  เพื่อจะได้เขียน พ.ร.บ ให้กับลูกค้าได้ทันทีเพื่อนำไปต่อทะเบียน หากท่านต้องการมี พ.ร.บ รถยนต์ไว้เขียน 2 ฉบับ (2คัน) ก็ต้องวางค้ำ 2,000 บาท เมื่อเขียน พ.ร.บ ให้กับลูกค้าแล้ว ส่งสำเนา พ.ร.บ ที่เขียนพร้อมหลักฐานการชำระเงินเบี้ย พ.ร.บ ราคาตัวแทนให้กับสำนักที่ใช้บริการอยู่  ทางสำนักงานจะส่ง พ.ร.บฉบับใหม่ไปให้แทนฉบับที่ขายไป โดยไม่ต้องวางค้ำอีก


3.ประกันภัยประเภทอื่นไม่ต้องวางค้ำ


4.ตัวแทนแจ้งงานประกันภัยได้ที่สำนักงานตัวแทนที่ใช้บริการได้ โดยผู้แนะนำจะแจ้งให้ทราบใช้สำนักงานที่ไหน


5.การแจ้งงานประกันภัย สามารถแจ้งงาน ทางอีเมล์ แฟ็กซ์  หรือแจ้งงานด้วยตนเอง


6.การแจ้งงานประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ และประเภทอื่น ตัวแทนยังไม่ต้องชำระเงินให้กับบริษัท เนื่องจากเป็นตัวแทนบริษัทมิตรแท้ประกันภัยโดยตรง ทางบริษัทจะออกกรมธรรม์ให้กับตัวแทนก่อน เมื่อตัวแทนนำกรมธรรม์ไปมอบให้กับลูกค้าแล้ว หักคอมมิชชั่นเป็นรายได้ทันที ส่งเบี้ยประกันภัยราคาตัวแทนให้กับบริษัทมิตรแท้ประกันภัย ผ่านทางธนาคาร เทสโก้โลตัส เซเว่นอีเลฟเว่น บัตรเครดิต ธนาคารออนไลน์


7.เมื่อแจ้งกรมธรรม์แล้วตัวแทนจะทราบหมายเลขกรมธรรม์ทันที เพื่อเป็นการสร้างความเชื่ิอมั่นให้กับลูกค้า ตัวแทนติดต่อทางบริษัทมิตรแท้ประกันภัยให้ลูกค้าสอบถามว่า รถยนต์ของลูกค้าที่ทำประกันภัยตามหมายเลขกรมธรรม์ที่ตัวแทนแจ้ง ได้รับการคุ้มครองหรือยังก่อนที่ลูกค้าจะชำระเงินเบี้ยประกันภัย


8.ตัวแทนมิตรแท้ประกันภัย ต้องสอบใบอนุญาตเพื่อเป็นตัวแทนถูกต้องตามกฎหมาย






   สอบถามเพิ่มเติม คุณ ทวี   0817159791

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ความเสียหายส่วนแรกคืออะไร


ความเสียหายส่วนแรก ( Deductible / Excess ) หมายถึง จํานวนเงินส่วนแรกของความเสียหายที่ผู้เอาประกันภัยตกลงจะรับผิดชอบเอง เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นในแต่ละครั้ง ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัย ดังนี้


1.  ความเสียหายส่วนแรก สําหรับความเสียหายต่อรถยนต์ คันเอาประกันภัย
  • 5,000 บาทแรก ลดเบี้ยประกันภัย 100% ของจํานวนเงินความเสียหายส่วนแรก
  •  สวนเกิน 5,000 บาท ลดเบี้ยอีก 10% ของจํานวนเงินความเสียหายส่วนแรก


2.  ความเสียหายส่วนแรก สําหรับความเสียหายต่อรถจักรยานยนต์
  • 1,000 บาทแรก ลดเบี้ยประกันภัย 100% ของจํานวนเงินความเสียหายส่วนแรก
  • สวนเกิน 1,000 บาท ลดเบี้ยอีก 20% ของจํานวนเงินความเสียหายส่วนแรก


3.  ความเสียหายส่วนแรก สําหรับความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
  • 5,000 บาทแรก ลดเบี้ยประกันภัย 10% ของจํานวนเงินความเสียหายส่วนแรก
  • สวนเกิน 5,000 บาท ลดเบี้ยอีก 1% ของจํานวนเงินความเสียหายส่วนแรก

                                   ความเสียหายส่วนแรก

การใช้รถที่ประกันภัยยกเว้นการคุ้มครอง


1. การใช้รถนอกอาณาเขตที่คุ้มครอง ในที่นี้หมายถึง นอกประเทศไทย แต่สามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่ได้เมื่อนำไปใช้ใน พม่า กัมพูชา ลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ และจีน โดยอัตราเบี้ยเพิ่มขึ้นเดือนละ 5% ของอัตราเบี้ยประกันภัยเต็มปี แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันภัยเต็มปี
2. ใช้รถในทางผิดกฏหมาย เช่น นำไปปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือขนยา "คำว่าใช้ในทางผิดกฏหมาย" หมายถึง "การใช้รถเพื่อประโยชน์ในการกระทำผิดกฏหมายโดยตรง" เช่น การนำรถไปขนของหนีภาษี (ไม่รวมการขับรถผิดกฏหมายจราจร เช่น ฝ่าไฟแดง ขับรถเร็ว)
3. การใช้รถในการแข่งขัน จากที่กล่าวมาว่าขับรถเร็วนั้นผิดกฏหมายจราจร แต่การใช้รถเพื่อการแข่งขันจะยกเว้นความคุ้มครอง เพราะความเสี่ยงมีสูงมากขึ้น
4. การใช้ลากจูงหรือผลักดัน เว้นแต่รถที่ถูกลากจูงนั้นได้ประกันภัยไว้กับบริษัหรือ เป็นรถลากจูงโดยสภาพหรือมีระยะห้ามล้อเชื่อมโยงถึงกัน(รถพ่วง)
5. การใช้โดยบุคคลของอู่ เมื่อรถยนต์ได้รับมอบหมายให้มีการซ่อม ในบางครั้งเมื่อรถซ่อมเสร็จแล้ว อู่จะทำการทดลอง แต่ได้ประสบอุบัติเหตุเกิดความเสียหาย บริษัทจะไม่รับผิดชอบชดใช้ เว้นแต่การซ่อมที่บริษัทเป็นผู้สั่งหรือให้ความยินยอม
6. การขับขี่โดยบุคคลที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฏหมาย
7. การขับขี่ในขณะที่อยู่ในสภาพมึนเมา (อัตราแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 150 มิลลิกรัม%
8. ความรับผิดซึ่งเกิดขึ้นจากสัญญาที่ผู้เอาประกันภัยทำขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีสัญญานั้นแล้วความรับผิดของผู้เอาประกันภัยจะไม่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การที่ผู้เอาประกันภัยไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายกับคู่กรณีเอง ทั้งๆ ที่ไม่คำนึงถึงว่าตนนั้นเป็นฝ่ายผิดถูกหรือไม่ ทั้งๆ ที่ตนเป็นฝ่ายถูก และไม่แจ้งให้ทางบริษัททราบ บริษัทมีสิทธิ์ปฏิเสธการชดใช้ให้คู่กรณี

รหัสจดทะเบียนรถยนต์


  • รย. 1     รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน  Sedan (Not more than 7 Pass.)
  • รย. 2     รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน   Microbus & Passenger Van
  • รย. 3     รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล   Van & Pick Up
  • รย. 4     รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล    Motortricycle
  • รย. 5     รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด  Interprovincial Taxi
  • รย. 6     รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน   Urban Taxi
  • รย. 7     รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง  Fixed Rou
  • รย. 8     รถยนต์รับจ้างสามล้อ   Motortricycle Taxi (Tuk Tuk)
  • รย. 9     รถยนต์บริการธุรกิจ   Hotel Tax
  • รย.10    รถยนต์บริการทัศนาจร Tour Taxi
  • รย.11    รถยนต์บริการให้เช่า  Car For Hire
  • รย.12    รถจักรยานยนต์   Motorcycle
  • รย.13    รถแทรกเตอร์   Tractor
  • รย.14    รถบดถนน  Road Roller
  • รย.15    รถใช้งานเกษตรกรรม   Farm Vehicle
  • รย.16    รถพ่วง   Automobile Trailer
  • รย.17    รถจักรยานยนต์สาธารณะ   Public Motorcycle

                                 


    
















                                      


    


                                        


    


                          

  

                              

  

                                

  

                              

  

                                

  

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ส่วนลดเบี้ยประกันภัยรถยนต์


ในการประกันภัยรถยนต์  ผู้เอาประกันภัยอาจได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยจากอัตราเบี้ยประกันภัยปกติในกรณีดังต่อไปนี้    
1  การประกันภัยกลุ่ม  หมายถึง การที่ผู้เอาประกันภัยมีรถยนต์เอาประกันภัยไว้กับบริษัท ตั้งแต่ 3 คันขึ้นไป จะได้รับส่วนลดจำนวน 10% ของเบี้ยประกันภัยในรถแต่ละคัน หลังจากที่หักส่วนลดเบี้ยประกันภัยสำหรับความเสียหายส่วนแรกที่ผู้เอาประกันภัยรับผิดชอบเองแล้ว การประกันภัยกลุ่มต้องปฏิบัติดังนี้
  • ต้องมีประกันภัยพร้อมกัน 3 คันขึ้นไป ถ้าประกันภัยไม่พร้อมกัน ให้ส่วนลดเฉพาะคันที่ 3 และคันต่อๆ ไป
  • รถยนต์เช่าซื้อจะให้ส่วนลดกลุ่มไม่ได้ นอกจากผู้เช่าซื้อเป็นบุคคลคนเดียวกันและได้เอาประกันภัยรถยนต์ 3 คันขึ้นไป 
  •  รถจักรยานยนต์ให้ส่วนลดกลุ่มได้ตามจำนวนคันของรถจักรยานยนต์เท่านั้นห้ามนับรวมจักรยานยนต์กับรถยนต์อื่นๆเข้าเป็นกลุ่ม 
2  อัตราเบี้ยประกันภัยประวัติดี และอัตราเบี้ยประกันภัยประวัติไม่ดี


เบี้ยประกันภัยประวัติดี


อัตราเบี้ยประกันภัยประวัติดี คืออัตราส่วนลดเบี้ยประกันภัยสำหรับผู้เอาประกันภัยในการต่ออายุการเอาประกันภัย โดยในระหว่างปีที่เอาประกันภัยที่ผ่านมาไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท อัตราเบี้ประกันภัยประวัติไม่ดีคือ อัตราส่วนเพิ่มเบี้ยประกันภัยสำหรับผู้เอาประกันภัย ในการต่ออายุการเอาประกันภัย โดยในระหว่างปีที่เอาประกันภัยที่ผ่านมามีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท ที่เกิดจาอุบัติเหตุ ซึ่งรถยนต์คันที่เอาประกันภัยเป็นฝ่ายประมาท หรือไม่สามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ อย่างน้อยตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป มีจำนวนเงินรวมกันเกิน200% ของเบี้ยประกันภัยในกรณีผู้เอาประกันภัยมีรถยนต์เอาประกันภัยไว้กับบริษัทน้อยกว่า 3 คัน บริษัทจะลดเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย เป็นลำดับ ดังนี้

ขั้นที่ 1  20% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ  สำหรับรถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท ในการประกันภัยปีแรก


ขั้นที่ 2  30% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ  สำหรับรถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท ในการประกันภัย 2 ปีติดต่อกัน


ขั้นที่ 3  40% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ  สำหรับรถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท ในการประกันภัย 3 ปีติดต่อกัน


ขั้นที่ 4  50% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ  สำหรับรถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้อง ค่าเสียหายต่อบริษัท ในการประกันภัย 4 ปีติดต่อกันหรือกว่านั้น


ทั้งนี้บริษัทจะลดเบี้ยประกันภัยให้ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยได้ต่ออายุการประกันภัยกับบริษัท และเฉพาะข้อตกลงคุ้มครองที่ต่ออายุเท่านั้น คำว่า “รถยนต์คันที่ไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัท” ให้หมายความรวมถึงรถยนต์คันที่มีการเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ค่าเสียหายนั้นมิได้เกิดจากความประมาของรถยนต์คันเอาประกันภัย และผู้เอาประกันภัยสามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้หากในระหว่างปีกรมธรรม์ที่ผู้เอาประกันภัยได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยประวัติดีมีการเรียกร้องค่าเสียหายต่อบริษัทแล้ว ในการต่ออายุการประกันภัยปีต่อไป บริษัทจะลดเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย ดังนี้
  • ลดลงหนึ่งลำดับขั้นจากเดิม หากการเรียกร้องนั้นเกิดจากความประมาทของรถยนต์คันเอาประกันภัย หรือผู้เอาประกันภัยไมสามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้
  • ลดลงสองลำดับขั้นจากเดิม แต่ไม่เกินอัตราปกติ หากมีการเรียกร้องที่รถยนต์คันเอาประกันภัยเป็นฝ่ายประมาท หรือไม่สามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ ตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปรวมกันมีจำนวนเงินเกิน 200% ของเบี้ยประกันภัย 

ในกรณีผู้เอาประกันภัยมีรถยนต์เอาประกันภัยไว้กับบริษัทคันเดียวหรือหลายคัน และมีการเรียกร้องค่าเสียหายระหว่างปีที่เอาประกันภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งรถยนต์คันที่เอาประกันภัยเป็นฝ่ายประมาท หรือไม่สามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ อย่างน้อยตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปรวมกันมีจำนวนเงินเกิน 200% ของเบี้ยประกันภัย บริษัทจะเพิ่มเบี้ยประกันภัยเป็นขั้นๆ ดังนี้


ขั้นที่ 1   20% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ


ขั้นที่ 2   30% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ ในกรณีมีค่าเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นต่อบริษัท 2 ปีติดต่อกัน


ขั้นที่ 3   40% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ ในกรณีมีค่าเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นต่อบริษัท 3 ปีติดต่อกัน


ขั้นที่ 4   50% ของเบี้ยประกันภัยในปีที่ต่ออายุ ในกรณีมีค่าเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นต่อบริษัท 4 ปีติดต่อกัน


     ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยถูกเพิ่มเบี้ยประกันภัยประวัติไม่ดีไม่ว่าลำดับขั้นใด และในปีกรมธรรม์ประกันภัยนั้น มีการเรียกร้องค่าเสียหาย ที่รถยนต์คันเอาประกันภัยเป็นฝ่ายประมาท หรือไม่สามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ไม่ถึง 2 ครั้ง หรือถึง 2 ครั้ง แต่มีค่าสินไหมทดแทนไม่ถึง 200% ของเบี้ยประกันภัยแล้ว ในการต่ออายุการประกันภัยบริษัทจะใช้เบี้ยประกันภัยในลำดับขั้นเดิมเช่นปีที่ผ่านมา แต่หากไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหาย หรือมีการเรียกร้องค่าเสียหาย หรือมีการเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น มิได้เกิดจากความประมาทของรถยนต์คันเอาประกันภัย และผู้เอาประกันภัยสามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้แล้ว ในการต่ออายุการประกันภัยในปีต่อไป บริษัทจะใช้เบี้ยประกันภัยในอัตราปกติ


3 กรณีผู้เอาประกันภัยมีรถยนต์เอาประกันภัยไว้กับบริษัทตั้งแต่ 3 คันขึ้นไป บริษัทจะลดเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย ดังนี้

  • 30% ของเบี้ยประกันภัยของปีที่ต่ออายุของรถยนต์ทุกคันที่เอาประกันภัยไว้กับบริษัท หักด้วยจำนวเงินค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบริษัทในปีที่เอาประกันภัย ในกรณีได้เอาประกันภัยรถยนต์ 3 คันถึง 9 คัน
  • 35% ของเบี้ยประกันภัยของปีที่ต่ออายุของรถยนต์ทุกคันที่เอาประกันภัยไว้กับบริษัท หักด้วยจำนวนเงินค่เสียหายที่เกิดขึ้นต่อบริษัทในปีที่เอาประกันภัย ในกรณีได้เอาประกันภัยรถยนต์ 10 คันถึง19คัน
  • 40%ของเบี้ยประกันภัยของปีที่ต่ออายุของรถยนต์ทุกคันที่เอาประกันภัยไว้กับบริษัท หักด้วยจำนวนเงินค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบริษัทในปีที่เอาประกันภัย ในกรณีได้เอาประกันภัยรถยนต์ 20 คันหรือมากกว่านั้น



ทั้งนี้บริษัทจะลดเบี้ยประกันภัยให้ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยได้ต่ออายุการประกันภัยกับบริษัทและเฉพาะข้อตกลงคุ้มครองที่ต่ออายุเท่านั้น คำว่า “จำนวนเงินค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบริษัท” ไม่รวมถึงค่าเสียหายที่มิได้เกิดจากความประมาทของรถยนต์คันเอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยสามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ ค่าเสียหายให้ถือตามจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปและสำรองไว้หักด้วยค่าสินไหมรับคืนโดยไม่รวมค่าใช้จ่ายในการจัดการค่าสินไหมทดแทน ถ้าการประกันภัยกลุ่มได้แยกประกันภัยเป็นคันๆ ซึ่งมีเวลาสิ้นสุดไม่พร้อมกัน ให้คำนวณ  ส่วนลดนี้ต่อเมื่อการประกันภัยรถทุกคันได้สิ้นสุดลงตามปีปฏิทิน เช่น รถบางคันในการประกันภัยกลุ่มหมดอายุในเดือนมกราคม 2550 บางคันหมดในเดือนกรกฎาคม 2550 บางคันหมดพฤศจิกายน 2550 การคำนวณส่วนลด ให้รอถึงเดือนพฤศจิกายน 2543 โดยคิดตามเบี้ยประกันภัยที่ได้รับทั้งหมด สำหรับกลุ่มรถยนต์และค่าเสียหายที่เกิดขึ้นตามระยะเวลาของการประกันภัยทุกคัน


4 ความเสียหายส่วนแรก
ความเสียหายส่วนแรกหมายถึงส่วนแรกของความรับผิดหรือความเสียหายที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบเองแบ่งเป็น


ค่าเสียหายส่วนแรก ที่เกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างบริษัทกับผู้เอาประกันภัย โดยอาจตกลงให้ผู้เอาประกันภัยรับผิดชอบความเสียหายส่วนแรก สำหรับความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ หรือความเสียหายส่วนแรก สำหรับความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ซึ่งในกรณีนี้บริษัทจะต้องลดเบี้ย
ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยดังนี้

1ความเสียหายส่วนแรก สำหรับความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์
5,000 บาทแรก ลดเบี้ยประกันภัย 100% ของจำนวนเงินความเสียหายส่วนแรก
ส่วนที่เกิน 5,000 บาทแรก ลดเบี้ยประกันภัย 10% ของจำนวนเงินความเสียหายส่วนแรก


2 ความเสียหายส่วนแรก สำหรับความคุ้มครองความเสียหายต่อรถจักรยานยนต์
1,000 บาทแรก ลดเบี้ยประกันภัย 100% ของจำนวนเงินความเสียหายส่วนแรก
ส่วนที่เกิน 1,000 บาทแรก ลดเบี้ยประกันภัย 20% ของจำนวนเงินความเสียหายส่วนแรก


3 ความเสียหายส่วนแรก สำหรับความคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก5,000 บาทแรก ลดเบี้ยประกันภัย 10%ของจำนวนเงินความเสียหายส่วนแรก ส่วนเกิน5,000 บาทแรกได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัย 1%ของจำนวนเงินความเสียหายส่วนแรกความเสียหายส่วนแรก เนื่องจากผู้เอาประกันภัยผิดสัญญา เช่นรถยนต์คันเอาประกันภัยไปเกิดความเสียหาย ในขณะที่มีบุคคลอื่นซึ่งมิใช่บุคคลที่ระบุชื่อในกรมธรรม์เป็นผู้ขับขี่เป็นต้น ความเสียหายส่วนแรกสำหรับกรณีที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย เช่น ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เกิดจากการชน ซึ่งผู้เอาประกันภัยไม่สามารถแจ้งให้บริษัททราบถึงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้
                        

ลักษณะการใช้รถยนต์

แยกออกเป็น ดังนี้ 
(1) การใช้ส่วนบุคคล 
หมายถึง รถที่ผู้เอาประกันภัยเป็นบุคคลธรรมดา และใช้รถยนต์เพื่อประโยชน์ส่วนตัว  ไม่ใช้ รับจ้าง หรือให้เช่า และให้รวมถึง รถที่นิติบุคคลเป็นเจ้าของ แต่เป็นรถที่มีไว้เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งใช้โดยเฉพาะ  เช่น รถประจำตำแหน่ง   ในกรณีดังกล่าวให้ระบุชื่อบุคคลนั้นเป็นผู้เอาประกันภัย 

(2) การใช้เพื่อการพาณิชย์ 
หมายถึง รถที่ใช้รับจ้าง ให้เช่า หรือรถที่ผู้เอาประกันภัยเป็นบุคคลธรรมดา แต่โดยปกติการใช้รถจะใช้เพื่อการขนส่งผู้โดยสาร หรือบรรทุกสินค้า เพื่อประโยชน์ทางการค้า หรือธุรกิจ หรือเป็นรถที่ผู้เอาประกันภัยเป็นนิติบุคคล

(3) การใช้รับจ้างสาธารณะ 
หมายถึง รถที่ผู้เอาประกันภัยเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล และใช้รถในทางรับจ้างสาธารณะ 

(4) การใช้เพื่อการพาณิชย์พิเศษ 
หมายถึง รถที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ สำหรับการบรรทุกและขนส่งสินค้าที่มีความเสี่ยงภัยสูง เช่น การบรรทุกเชื้อเพลิง กรด แก๊ส  

(5) รถยนต์ป้ายแดง 
หมายถึง การประกันภัยของผู้ค้ารถยนต์ หรืออู่ซ่อมรถยนต์ โดยสามารถรับประกันภัยตามป้ายแดง หรือบุคคลขับขี่ระบุชื่อก็ได้ 

(6) รถพยาบาล 
หมายถึง รถของสถานพยาบาลที่ใช้ในการรับส่งผู้ป่วย โดยมีสัญญาณไฟฉุกเฉิน แต่ไม่รวมถึงรถอื่นๆ ของสถานพยาบาล 

(7) รถดับเพลิง 
(8) รถใช้ในการเกษตร 
หมายถึง รถที่เกษตรกรใช้ในการประกอบอาชีพกสิกรรม เช่น รถอีแต๋น รถแทรกเตอร์ที่มีอุปกรณ์การหว่าน การไถ การเก็บเกี่ยว การนวด 

(9) รถใช้ในการก่อสร้าง 
หมายถึง รถที่ใช้ในกิจการก่อสร้าง เช่น รถบดถนน รถเกลด รถโม่ปูน และรถแทรกเตอร์ที่ใช้ในการก่อสร้าง 

(10) รถอื่นๆ 
หมายถึง รถที่อยู่นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รหัสรถยนต์ระบุในกรมธรรม์

รหัสรถยนต์ที่บริษัทต้องระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ เป็นตัวเลขมีความหมาย ดังนี้
ตัวเลขที่หนึ่งแสดงถึงประเภทรถยนต์ ตัวเลขที่สองและสามแสดงถึงลักษณะการใช้รถยนต์

รหัสรถยนต์ที่ปรากฏตามตารางข้างต้นมีความหมาย ดังนี้
หมายเลข
1 ประเภทรถยนต์นั่ง
2 ประเภทรถยนต์โดยสาร
3 ประเภทรถยนต์บรรทุก
4 ประเภทรถยนต์ลากจูง
5 ประเภทรถพ่วง
6 ประเภทรถจักรยานยนต์
7 ประเภทรถยนต์นั่งรับจ้างสาธารณะ
8 ประเภทรถยนต์เบ็ดเตล็ด
     
ตัวเลขที่สองและสาม  ได้แก่
10   ชนิดรถยนต์ส่วนบุคคล
20   ชนิดรถยนต์ใช้เพื่อการพาณิชย์
30   ชนิดรถยนต์ใช้รับจ้างสาธารณะ
40   ชนิดรถยนต์ใช้เพื่อการพาณิชย์พิเศษ

รหัสรถยนต์ภาคสมัครใจ และลักษณะการใช้รถ
1. รถเก๋ง รกระบะ 4 ประตูไม่ต่อสองแถว ป้ายสีขาวตัวอักษรสีดำ (รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 ที่นั่ง)

  • รหัส 110 คือรถยนต์ใช้ส่วนบุคคลไม่ใช้รับจ้างหรือให้เช่า
  • รหัส 120 คือรถยนต์ใช้เพื่อการพาณิชย์ หรือรถจดทะเบียนบุคคล แต่ใช้งานรับจ้าง(ไม่ประจำทาง) หรือ รถยนต์ให้เช่า

2. รถกระบะแคปและไม่แคป ป้ายสีขาวตัวอักษรสีเขียว (รถยนต์บรรทุกไม่เกิน 3 ตัน)

  • รหัส 210 คือรถยนต์ใช้ส่วนบุคคล ไม่กั้นโครงเหล็ก ไม่ติดหลังคา บางบริษัทใช้รหัส 320 (เน้นการใช้งานโดยสาร)
  • รหัส 320 คือรถยนต์บรรทุกใช้เพื่อการพาณิชย์ รับจ้างหรือให้เช่า (เน้นใช้งานบรรทุก)
  • รหัส 340 คือรถยนต์บรรทุกใช้เพื่อการพาณิชย์ ใช้บรรทุกวัตถุอันตราย เช่น ก๊าช น้ำมัน วัตถุไวไฟ

3. รถตู้โดยสาร ป้ายสีขาวตัวอักษรสีฟ้า (รถยนต์โดยสารส่วนบุคคล)

  • รหัส 210 คือรถยนต์โดยสารใช้ส่วนบุคคล ไม่ใช้รับจ้างหรือให้เช่า ชื่อบุคคลหรือชื่อบริษัทแต่ใช้ประจำตำแหน่ง
  • รหัส 220 คือรถยนต์โดยสารพาณิชย์ใช้รับจ้างรับส่งพนักงานบริษัท นักเรียน วิ่งทัวร์ต่างๆ หรือชื่อบริษัทไม่ใช้ประจำตำแหน่ง

4. รถตู้โดยสาร ป้ายสีเหลือง ตัวอักษรเป็นตัวเลขทั้งหมด ตัวเลขสีดำ (รถยนต์โดยสารรับจ้าง)

  • รหัส 220 คือรถยนต์โดยสารใช้รับจ้างรับส่งพนักงานบริษัท นักเรียน วิ่งทัวร์ต่างๆ
  • รหัส 230 คือรถยนต์โดยสาร ใช้รับจ้างประจำทาง รับจ้างสาธารณะ



สำหรับประเภทรถยนต์เบ็ดเตล็ด กำหนดไว้ดังนี้
  • รถยนต์ป้ายแดง
  • รถพยาบาล
  • รถดับเพลิง
  • รถใช้ในการเกษตร
  • รถใช้ในการก่อสร้าง
  • รถอื่นๆ
ลักษณะรหัสรถยนต์
ประเภทรถยนต์
รหัสฯลักษณะการใช้รถยนต์
รถยนต์นั่ง
110
การใช้ส่วนบุคคล
120
การใช้เพื่อการพาณิชย์
รถยนต์โดยสาร
210
การใช้ส่วนบุคคล
220
การใช้เพื่อการพาณิชย์
230
การใช้รับจ้างสาธารณะ
รถยนต์บรรทุก
320
การใช้เพื่อการพาณิชย์
340
การใช้เพื่อการพาณิชย์พิเศษ
รถยนต์ลากจูง
420
การใช้เพื่อการพาณิชย์
รถพ่วง
520
การใช้เพื่อการพาณิชย์
540
การใช้เพื่อการพาณิชย์พิเศษ
รถจักรยานยนต์
610
การใช้ส่วนบุคคล
620
การใช้เพื่อการพาณิชย์
630
การใช้รับจ้างสาธารณะ
รถยนต์นั่งรับจ้างสาธารณะ
730
การใช้รับจ้างสาธารณะ
รถยนต์เบ็ดเตล็ด
801
รถยนต์ป้ายแดง
802
รถพยาบาล
803
รถดับเพลิง
804
รถใช้ในการเกษตร
805
รถใช้ในการก่อสร้าง
806
รถอื่นๆ

ประเภทรถยนต์

จำแนกประเภทรถยนต์ออกเป็น 8 ประเภท ดังนี้
(1) ประเภทรถยนต์นั่ง หมายถึง รถยนต์ที่นั่งได้ไม่เกิน 7 คน  รวมทั้งคนขับ ได้แก่
  • รถเก๋ง
  • รถตรวจการเล็ก หรือรถแวนเล็ก
  • รถจิ๊ป  ช่วงสั้น
  • รถสามล้อเครื่อง
(2) ประเภทรถยนต์โดยสาร หมายถึง รถยนต์ที่นั่งได้เกิน 7 คน  รวมทั้งคนขับ  ได้แก่
  • รถตู้โดยสาร
  • รถปิคอัพ หรือรถโดยสารที่นั่งสองแถว
  • รถเมล์โดยสาร
(3) ประเภทรถยนต์บรรทุก หมายถึง รถยนต์ที่ใช้เพื่อการบรรทุก และขนส่งสินค้าชนิดต่างๆ  ได้แก่
  • ชนิดเก๋งทึบบรรทุก (แวน)
  • ชนิดกระบะไม้หรือเหล็ก  และมีหรือไม่มีหลังคา (ปิ๊กอัพหรือทรัค)
  • ชนิดถังเหล็ก (แท๊งก์)
(4) ประเภทรถยนต์ลากจูง หมายถึง รถยนต์ที่ไม่มีกระบะสำหรับการบรรทุก และใช้ในการลากจูง
(5) ประเภทรถพ่วง หมายถึง รถที่ไม่มีเครื่องยนต์ และใช้ในการบรรทุกคู่กับรถยนต์ลากจูง หรือใช้ในการบรรทุกคู่กับรถยนต์บรรทุก
(6) ประเภทรถจักรยานยนต์ หมายถึง รถสองล้อที่มีเครื่องยนต์  มีหรือไม่มีรถพ่วงก็ได้
(7) ประเภทรถยนต์นั่งรับจ้างสาธารณะ หมายถึง รถยนต์นั่งได้ไม่เกิน 7 คน รวมทั้งคนขับซึ่งจดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งรับจ้างสาธารณะ  ได้แก่ 
  • รถแท๊กซี่
  • รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง
  • รถสามล้อแท็กซี่
(8) ประเภทรถยนต์เบ็ดเตล็ด หมายถึง รถยนต์ที่ไม่จัดอยู่ใน 7 ประเภทรถยนต์ดังกล่าวข้างต้น  ได้แก่
  • รถยนต์ป้ายแดง
  • รถพยาบาล
  • รถดับเพลิง 
  • รถใช้ในการเกษตร
  • รถใช้ในการก่อสร้าง
  • รถอื่นๆ

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เรื่องประกันภัยที่ต้องรู้


1. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์จะมีผลทันทีที่ผู้เอาประกันชำระเบี้ยประกันภัยให้กับบริษัท  การซื้อถ้ามีใบเสร็จรับเงินที่ถูกต้องก็จะปฏิเสธความรับผิดชอบมิได้

          2. ในกรณีที่รถคุณเสียหายอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถซ่อมกลับคืนได้ บริษัทต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยเต็มทุนประกันและรถคันนั้นจะตกเป็นทรัพย์สินของบริษัทประกันภัย

          3. ค่าแอกเซ็ปต์หรือค่าใช้จ่ายส่วนแรกนั้น ในกรณีไม่มีคู่กรณีจะจ่ายเพียง 1,000 บาท เท่านั้น แต่ถ้าคนอื่นขับไปทำให้เกิดความเสียหายต้องจ่าย 6,000 บาท

          4. ค่าอะไหล่ที่เกิดจากการซ่อม ผู้เอาประกันภัยสามารถเรียกร้องเป็นเงินตามราคาประเมินเพื่อนำไปจัดหาเองได้ ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าจะได้อะไหล่แท้หรือไม่

          5. หากภายในรถของคุณมีการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับระบบก๊าซ NGV หรือ LPG เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องแจ้งให้บริษัททราบ เพราะหากเกิดเหตุและรถคันเอาประกันเป็นฝ่ายผิด ความคุ้มครองที่จะได้รับจากการประกันอาจไม่สมบูรณ์

          6. หากคุณขับรถชนกับรถคู่กรณีที่ไม่มีประกันภัยและรถของท่านเป็น "ฝ่ายถูก" คุณควรตรวจสอบไปที่บริษัทประกันภัยว่าตามรายงานอุบัติเหตุนั้น รถของคุณเป็นฝ่ายถูกจริงเหรอ ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์

          7. การดูแลขนย้ายรถที่เสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุเพื่อไปซ่อมที่อู่เป็นหน้าที่ของบริษัท แม้ว่าจะต้องย้ายรถไปโรงพักหรือที่ใดก็ตาม ตั้งแต่หลังเกิดเหตุจนกระทั่งซ่อมเสร็จ บริษัทประกันภัยจะต้องรับภาระส่วนนี้ แต่ไม่เกินร้อยละยี่สิบของค่าซ่อม

          8. ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนและคุณไม่แน่ใจว่าเป็นฝ่ายถูกหรือผิด คุณไม่จำเป็นต้องเซ็นต์รับผิดในใบเครม เพราะไม่ใช่กติกาหรือข้อกฏหมาย แต่เป็นหน้าที่ที่บริษัทซึ่งคุณทำประกันภัยจะไปทำการตกลง

          9. อย่าคิดหนีในกรณีที่ขับรถชนคน ให้ช่วยเหลือคนเจ็บให้เต็มที่ และถ่ายรูปหลักฐานที่เกิดเหตุไว้ต่อสู้คดี เพราะศาลจะพิจารณาจากความมีน้ำใจที่คุณช่วยเหลือผู้อื่น บางทีโทษทางอาญาอาจเหลือแค่การรอลงอาญา และตกลงค่าเสียหายกันตามสมควรแต่ถ้าคุณหนีจะติดคุกทันที

          10. ประกันภัยจะไม่คุ้มครองความเสียหายในขณะที่รถของคุณถูกลากจูง หรือขับรถขณะที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่น้อยกว่า 150mg% หรือขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ เว้นแต่ในกรณีที่ทำประกันประเภทระบุชื่อคนขับ และความเสียหายนั้นเกิดขึ้นในขณะที่คนระบุชื่อเป็นผู้ขับขี่


ชนแล้วแยกใบเคลม

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เรียนรู้พ.ร.บรถยนต์


ผู้มีหน้าที่ต้องทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
1. เจ้าของรถ (ผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถ)
2. ผู้เช่าซื้อรถ (ผู้ครอบครองรถในฐานะผู้เช่าซื้อรถ)
3. เจ้าของรถซึ่งนำรถที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาใช้ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
การฝ่าฝืนไม่จัดให้มีการทำประกันภัยรถ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 กำหนดให้ระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

ประเภทรถที่ต้องทําประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ พ.ร.บ.
รถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ได้แก่ รถทุกชนิดทุกประเภทตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหารที่เจ้าของมีไว้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ ไม่ว่ารถดังกล่าวจะเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อเครื่อง รถยนต์โดยสาร รถบรรทุก หัวรถลากจูง รถพ่วง รถบดถนน รถอีแต๋น ฯลฯ ดังนั้น รถบางประเภทที่กรมการขนส่งทางบกไม่รับจดทะเบียน แต่หากเข้าข่ายว่ารถนั้นเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น ให้จัดเป็นรถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ.

รถที่รับการยกเว้นไม่ต้องทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ พ.ร.บ.

1. รถสำหรับเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ พระรัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
2. รถของสำนักพระราชวังที่จดทะเบียน และมีเครื่องหมายตามระเบียบที่เลขาธิการพระราชวังกำหนด
3. รถของกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการต่าง ๆ รถยนต์ทหาร
4. รถของหน่วยงานธุรการขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานธุรการที่เป็นอิสระขององค์กรใด ๆ ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ

     กฎหมายบังคับให้รถยนต์ทุกคันที่จดทะเบียนกับการขนส่งทางบกจะต้องมีการประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครอบผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 .หากไม่ทำจะมีความผิด มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และให้เจ้าของรถหรือผู้ใช้รถเก็บรักษาหลักฐานแสดงการมีประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยจากรถไว้ให้พร้อมที่จะแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทุกเวลาที่ใช้รถ เว้นแต่กรณีรถคันดังกล่าวได้จดทะเบียนหรือชำระภาษีประจำปีแล้ว

ในการจดทะเบียนรถหรือการชำระภาษีรถประจำปี เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งจะทำการตรวจสอบว่าได้มีการจัดทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ(พ.ร.บ.)แล้ว จึงจะรับจดทะเบียนหรือชำระภาษีประจำปีได้

การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) นี้ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุรถยนต์ ทุกคนที่ประสบภัยจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร คนเดินถนน หากได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย รวมไปถึงทายาทของผู้ประสบภัยข้างต้น ในกรณีผู้ประสบภัยเสียชีวิต


ความคุ้มครอง วงเงินคุ้มครอง
1. ค่าเสียหายเบื้องต้น ได้รับโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด
ค่ารักษาพยาบาล จากการบาดเจ็บ 15,000 บาท
การเสียชีวิตทันที 35,000 บาท หากการรักษาแล้วเสียชีวิตภายหลังจะได้การชดเชยไม่เกิน 50,000 บาท
การเกิดเหตุจากรถที่มีประกันภัยตาม พ.ร.บ. ผู้ประสบภัยจะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมกับค่าเสียหายเบื้องต้นแล้ว ดังนี้
ค่ารักษาพยาบาล จากการบาดเจ็บ 50,000 บาท
การเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร ไม่ว่าจะมีการรักษาหรือไม่ 200,000 บาท
ค่าชดเชยรายวันให้แก่ผู้ประสบภัยจากรถที่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล (ไม่เกิน 20 วัน) 200 บาท/วัน


                                            เรียนรู้ พ.ร.บ รถยนต์ ตอนที่1




                                         เรียนรู้ พ.ร.บ รถยนต์ ตอนที่2


             
                                            เรียนรู้ พ.ร.บ รถยนต์ ตอนที่3

       

การซื้อประกันภัยรถยนต์

ปัจจุบันประกันภัยรถยนต์มีกรมธรรม์ออกมามากขึ้นในการเลือกซื้อ แต่แบบไหนที่จะคุ้มค่าเหมาะกับคุณ


  • ดูสภาวะการใช้งาน เป็นสิ่งที่เราต้องคิดเพื่อให้มันสอดคล้องกับเรามากที่สุด เราควรจะคิดถึงว่า เราขับรถอย่างไร ขับไปไหน ไกลมากเท่าไร และยังรวมถึง สภาวะต่างๆที่เป็นความเสี่ยงและอาจเกิดขึ้นว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด แล้วเลือกประเภทประกันภัยให้เหมาะสมกับการใช้งาน
  • เลือกบริษัทที่ไว้ใจได้ ถ้าหากเป็นไปได้ อยากให้คุณเลือกการทำประกันกับบริษัทประกันภัยจริงๆ แม้ราคาจะแพงกว่าก็ตาม แต่มันก็ยังช่วยให้คุณอุ่นใจได้มากกว่ามาเจอเรื่องปวดหัวในภายหลัง คราวนี้เรามาดูสิว่า จะมีวิธีการอย่างไรบ้าง ที่จะทำให้เบี้ยประกันนั้นถูกลง จนเป็นที่น่าพอใจกับความคุ้มครองในด้านต่างๆ

1. ระบุชื่อคนขับ ถ้าคุณเป็นเจ้าของรถและเป็นผู้ทำประเอง ขับรถคันนี้คนเดียว ทางออกนี้เป็นหนทางแรกที่เราอยากจะแนะนำว่า ให้ควรทำเสียเป็นข้อแรกๆ การระบุชื่อคนขับนั้นจะให้มีส่วนลดค่าเบี้ยประกันตั้งแต่ 5% ไปจนถึงสูงสุดที่ 20 % ทำให้สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ ปกติแล้วในการทำประกันภัยรถนั้นคุณสามารถระบุชื่อผู้ขับได้ 2 คน ซึ่งก็นับว่าเพียงพอต่อการใช้งานจริงๆในชีวิตประจำวันและนิสัยการขับขี่

2. ขับน้อยจ่ายน้อย จะไปจ่ายแพงทำไม ถ้าคุณใช้รถน้อยและเดินทางไม่ไกลมากมายนัก โดยปกติแล้วหากเราระบุต่อประกันภัยได้ว่า ในวันหนึ่งเราเดินทางไปไหนระยะทางกี่กิโลเมตร เราก็ช่วยลดการประเมินความเสี่ยงของเราจากบริษัทประกันภัยได้ทำให้ลดราคาค่าเบี้ยลงไป หรืออาจเลือกแพ็คเกจสำหรับรถใช้งานน้อยก็ได้ ซึ่งจะมีค่าเบี้ยต่ำกว่าแบบปกติ

3. ค่าเสียหายส่วนแรกช่วยคุณได้ หลายๆคนอาจจะไม่ค่อยรู้จักค่าเสียหายส่วนแรกหรือ Deductible ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อคุณประสบอุบัติเหตุแล้วถูกพิจารณาว่า เป็นฝ่ายผิดเท่านั้น คุณจำเป็นต้องจ่ายเบี้ยประกันให้บริษัทประกันในส่วนแรกก่อนการเคลม ทั้งนี้ค่าเสียหายส่วนแรกนี้สามารถช่วยคุณได้ และทำได้จริงๆหากคุณคิดว่าคุณใช้รถน้อย ขับเจ๋งจริง และยากที่จะเกิดอุบัติเหตุ คุณสามารถของให้ขึ้นค่า Deductible นี้ได้ ซึ่งจะทำให้ค่าเบี้ยคุณนั้นลดลงไปอีก แต่จะมีปัญหาตอนที่คุณเกิดอุบัติเหตุและถูกตัดสินจากเจ้าหน้าที่ว่าเป็นฝ่ายผิด ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคุณเป็นคนตัดสินใจ

4. จูงมือเพื่อนซื้อประกัน ประกันภัยก็เหมือนสินค้าทั่วไป ยิ่งซื้อมากคุณก็ยิ่งคุ้ม การที่เราทำประกันภัยรถหลายๆคันพร้อมๆกัน หรือหากที่บ้านมีรถหลายคัน หากคุณตัดสินใจทำประกันพร้อมกันด้วยบริษัทเดียว มันก็จะช่วยให้คุณสามารถลดค่าใช้จ่ายต่อหน่วยได้

มิตรแท้ประกันภัย ฟรีแฟรนไชส์

  บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด เป็นบริษัทประกันวินาศภัยที่มีความมั่นคง ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 1,500 ล้านบาท เปิดดำเนินกิจการมาตั้งแต่วันที่ ...